
กลยุทธ์ Crypto Scalping ทำงานอย่างไร
หนึ่งในกลยุทธ์การเทรดที่เร็วที่สุดในตลาดคริปโตคือ scalping ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมหลายครั้งภายในวันเดียว ดังนั้นจึงต้องอาศัยความเข้าใจในแนวโน้มของตลาดและการตัดสินใจที่รวดเร็ว ในบทความนี้ เราจะอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์ scalping และแนะนำเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Scalping ในคริปโตคืออะไร? (เชิงลึก)
Scalping คือกลยุทธ์การเทรดที่เน้นการทำกำไรจากความผันผวนของราคาระยะสั้น โดยนักเทรดจะติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างต่อเนื่อง และทำการซื้อขายจำนวนมากในแต่ละวัน โดยถือครองตำแหน่งเพียงไม่กี่นาทีหรือน้อยกว่านั้น
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี scalper มักเลือกสินทรัพย์ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงและมีความผันผวน เช่น Bitcoin, Ethereum หรือ Solana และใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น อินดิเคเตอร์และกราฟ เพื่อช่วยตัดสินใจในการเข้าหรือออกจากตำแหน่ง
อินดิเคเตอร์ที่ดีที่สุดสำหรับการเทรด Scalping
ต่อไปนี้คือตัวอย่างอินดิเคเตอร์ที่นักเทรดนิยมใช้ในการ scalping:
-
Moving Averages (MA). อินดิเคเตอร์นี้ช่วยให้ราคาที่ผันผวนดูราบเรียบมากขึ้น โดยช่วยให้นักเทรดสามารถมองเห็นแนวโน้มของตลาดได้ โดยเฉพาะ Simple Moving Average (SMA) และ Exponential Moving Average (EMA) ซึ่งช่วยกำหนดจุดเข้าและออกจากการเทรด
-
Relative Strength Index (RSI). RSI เป็นตัววัดโมเมนตัมที่ใช้วัดสถานะ Overbought และ Oversold ของสินทรัพย์ หากค่า RSI สูงกว่า 70 ถือว่า Overbought และต่ำกว่า 30 ถือว่า Oversold ใช้เพื่อหาโอกาสในการกลับทิศทางของราคา
-
Bollinger Bands. เป็นเส้น SMA ร่วมกับเส้นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ด้านบนและล่าง ใช้เพื่อระบุช่วงเวลาที่ราคามีความผันผวนต่ำ โดยเมื่อราคาลงถึงแถบล่างจะถือเป็นโอกาสในการซื้อ และเมื่อขึ้นถึงแถบบนจะเป็นจุดขาย
-
Stochastic Oscillator. อินดิเคเตอร์นี้เปรียบเทียบราคาปิดของสินทรัพย์กับช่วงราคาของช่วงเวลาก่อนหน้า ใช้ระบุสถานะ Overbought (ค่า > 80) และ Oversold (ค่า < 20)
-
MACD (Moving Average Convergence Divergence). เป็นอินดิเคเตอร์ตามแนวโน้มที่เปรียบเทียบ EMA แบบ 12-period และ 26-period โดยดูการตัดกันของเส้น MACD กับเส้น Signal เพื่อกำหนดจุดเข้าและออก
อินดิเคเตอร์ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายหลักในการระบุจุดเข้าและออกจากการเทรด ซึ่งสังเกตได้จากการตัดกันของเส้นต่าง ๆ คุณสามารถฝึกฝนเพื่อเข้าใจได้ดีขึ้น หรืออ่านเพิ่มเติมใน บทความของเรา

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์
เพื่อให้เข้าใจกลยุทธ์นี้มากขึ้น มาดูตัวอย่างการทำงานของนักเทรด scalping โดยใช้ Bitcoin:
-
ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์ตลาด. เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ กราฟราคาของ BTC ในช่วงเวลาสั้น ๆ (เช่น 1 หรือ 5 นาที) และเพิ่มอินดิเคเตอร์อย่าง MA และ Bollinger Bands เพื่อหาความเคลื่อนไหวระยะสั้น
-
ขั้นตอนที่ 2: หาจุดเข้า. เมื่อราคา Bitcoin ลดลงและแตะขอบล่างของ Bollinger Band นักเทรดมองเห็นสัญญาณกลับตัวหรือรีบาวด์ และทำการซื้อทันทีเมื่อราคามีสัญญาณเริ่มกลับตัว
-
ขั้นตอนที่ 3: ดำเนินการเทรด. นักเทรดจะตั้งค่า Stop Loss ต่ำกว่าจุดต่ำสุดล่าสุด และตั้ง Take-Profit เพื่อเก็บกำไรเล็กน้อย (ประมาณ 0.2–0.5%)
-
ขั้นตอนที่ 4: หาจุดออก. หากราคาขยับตามที่คาด นักเทรดจะปิดออร์เดอร์เพื่อรับกำไร (เช่น กำไร 0.3%) หากราคาไม่เป็นไปตามแผน Stop Loss จะช่วยจำกัดการขาดทุน
นักเทรด scalping จะทำกระบวนการนี้หลายครั้งต่อวัน ซึ่งกำไรเล็กน้อยจากแต่ละการเทรดจะสะสมกลายเป็นผลตอบแทนรวมที่มากขึ้น กลยุทธ์เดียวกันนี้สามารถใช้กับเหรียญอื่น ๆ ได้เช่นกัน
ข้อดีและข้อเสียของ Scalping
เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่า scalping คืออะไร และทำงานอย่างไร ต่อไปนี้คือสรุปข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์นี้:
| ข้อดี | ข้อเสีย | |
|---|---|---|
| ศักยภาพในการทำกำไร: ความผันผวนของราคาช่วยให้ทำกำไรได้มาก โดยเฉพาะกับสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง | ข้อเสียต้องใช้เครื่องมือและทักษะ: จำเป็นต้องเข้าใจการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งอาจยากสำหรับมือใหม่ | |
| ทำกำไรได้เร็ว: สามารถทำกำไรในไม่กี่นาทีจากการเทรด | ข้อเสียค่าธรรมเนียมสูง: การเทรดบ่อย ๆ ทำให้เสียค่าธรรมเนียมสะสมมาก | |
| ความถี่ในการเทรดสูง: ครอบคลุมสถานการณ์ตลาดหลากหลาย | ข้อเสียมีความเสี่ยงสูง: ข้อผิดพลาดเล็ก ๆ อาจนำไปสู่การขาดทุนมาก | |
| เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดน้อย: เนื่องจากถือสินทรัพย์ช่วงเวลาสั้น ๆ | ข้อเสียต้องเฝ้าตลาดตลอดเวลา: ต้องติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ซึ่งอาจเหนื่อยได้ |
จะเริ่มเทรด Scalping ได้อย่างไร?
หากคุณตัดสินใจแล้วว่า scalping คือกลยุทธ์ที่คุณต้องการ ใช้ขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อเริ่มอย่างมีประสิทธิภาพ:
-
เลือกแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้: เลือก แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน ที่มีสภาพคล่องสูง ค่าธรรมเนียมต่ำ และแสดงกราฟแบบเรียลไทม์
-
ลงทะเบียน: สร้างบัญชี ทำการยืนยันตัวตน และป้องกันบัญชีด้วย 2FA เติมเงินเข้าบัญชีและตั้งค่าเครื่องมือสำหรับติดตามราคา
-
เลือกข้อมูลอินพุต: เลือกคู่เทรดและช่วงเวลา โดยควรเลือกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น BTC/USDT หรือ ETH/USDT และใช้กราฟ 1 หรือ 5 นาทีในการติดตามการเคลื่อนไหวระยะสั้น
-
กำหนดจุดเข้าและออก: เข้าและออกจากตำแหน่งเมื่อราคาถึงจุดสำคัญ ตั้งค่า Take-Profit และ Stop-Loss เพื่อควบคุมความเสี่ยง
-
ดำเนินการและติดตาม: เริ่มเทรดโดยใช้ คำสั่ง Market หรือ Limit ติดตามออร์เดอร์อย่างใกล้ชิดเพื่อปิดเมื่อได้กำไรตามเป้าหมาย
เริ่มต้นด้วยการเทรดเพียงไม่กี่ครั้งต่อวันเพื่อฝึกฝน และควรใช้จำนวนเงินที่คุณยอมรับการขาดทุนได้ หากคุณไม่มั่นใจในทักษะของตนเอง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
มีคำถามเกี่ยวกับ scalping หรือไม่? ติดตาม บล็อกของเรา เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมและอัปเดตข่าวสารวงการคริปโตได้ตลอดเวลา!
ให้คะแนนบทความ




ความคิดเห็น
0
คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น