
คู่เทรดในคริปโตคืออะไร
คู่เทรดคือรากฐานของโลกตลาดการเงินทั้งหมด รวมถึงตลาดคริปโตเคอร์เรนซีด้วย เป็นเครื่องมือสากลที่ช่วยให้คุณเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่าสินทรัพย์หนึ่งมีมูลค่าเทียบกับอีกสินทรัพย์หนึ่งเท่าใด หากคุณเคยสงสัยว่าเหรียญต่าง ๆ ถูกซื้อขายบนกระดานเทรดได้อย่างไร คำตอบก็ง่ายมาก นั่นคือผ่าน “คู่เทรด”
ในบทความนี้ เราจะอธิบายให้ละเอียดขึ้นว่าคู่เทรดคืออะไร และมีคู่เทรดประเภทใดบ้าง
คู่เทรดคืออะไร?
คู่เทรดในตลาดคริปโตคือการจับคู่ของสินทรัพย์สองชนิด ซึ่งแสดงอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงระหว่างสินทรัพย์สองประเภทแบบเรียลไทม์ การซื้อขายทั้งหมดในตลาดคริปโตจะเกิดขึ้นภายในคู่เทรดเหล่านี้
ในเชิงภาพ คู่เทรดใด ๆ เช่น BTC/USDT จะประกอบด้วยสินทรัพย์สองตัวที่คั่นด้วยเครื่องหมายทับ (/) เสมอ โดยประกอบด้วย:
1. สินทรัพย์ฐาน (Base asset) — อยู่ฝั่งซ้าย เช่น BTC เป็นสินทรัพย์ที่คุณกำลังซื้อหรือขาย
2. สินทรัพย์อ้างอิง (Quoted asset) — อยู่ฝั่งขวา เช่น USDT เป็น “สกุลเงิน” ที่ใช้แสดงราคา โดยส่วนใหญ่มักเป็น stablecoin
หากราคาของคู่ BTC/USDT อยู่ที่ 70,000 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่า 1 BTC มีมูลค่าเท่ากับ 70,000 USDT เมื่อคุณเข้าใจตรรกะง่าย ๆ นี้แล้ว คุณจะสามารถอ่านราคาบนกระดานเทรดใด ๆ ได้อย่างไม่ยาก
แนวคิดที่เรียบง่ายนี้ทำให้การเทรดเป็นเรื่องรวดเร็วและเข้าใจได้ง่าย เกิดเป็นกระแสการแลกเปลี่ยนต่อเนื่อง กล่าวคือ เมื่อคุณขายสินทรัพย์หนึ่งแล้ว ก็สามารถนำเงินที่ได้ไปซื้อสินทรัพย์ถัดไปได้ทันที

วิธีการเทรดคู่คริปโต
กระดานเทรดคริปโตทำงานคล้ายกับตลาดขนาดใหญ่ที่มีผู้คนซึ่งต้องการซื้อและขายสินทรัพย์มาพบกัน การแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “การจับคู่คำสั่งซื้อขาย (matching)”
Makers จะวางคำสั่งซื้อหรือขายในราคาที่แตกต่างจากราคาตลาดปัจจุบัน และรอให้มีอีกฝ่ายหนึ่งมาตอบรับ คำสั่งเหล่านี้จะถูกบันทึกไว้ในสมุดคำสั่งซื้อขาย (order book) เพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับตลาด นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ “market makers”
Takers จะวางคำสั่งที่ถูกดำเนินการทันทีจากคำสั่งที่มีอยู่ใน order book พวกเขาจะเป็นฝ่ายดึงสภาพคล่องออกจากตลาด
ความสำเร็จในการเทรดขึ้นอยู่กับการเลือกคู่เทรดที่มีสภาพคล่องสูง และความเข้าใจในการทำงานของกระดานเทรด โดยทั่วไป การเทรดคู่คริปโตประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก:
1) เลือกคู่เทรดที่มีสภาพคล่องสูงและเหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ
2) วิเคราะห์ทิศทางของสินทรัพย์ฐานเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อ้างอิง โดยใช้ กราฟราคา และ อินดิเคเตอร์
3) วางคำสั่งซื้อขาย (market, limit หรือ stop-limit) เพื่อแลกเปลี่ยนสินทรัพย์หนึ่งเป็นอีกสินทรัพย์หนึ่งผ่าน order book ของกระดานเทรด
ตัวอย่างของคู่เทรด
คู่เทรดใช้วัดอัตราส่วนราคาของเหรียญเมื่อเทียบกับสกุลเงิน fiat แบบดั้งเดิม หรือกับคริปโตอีกเหรียญหนึ่ง
คริปโตต่อ Fiat
เป็นคู่เทรดโดยตรงที่มูลค่าของเหรียญถูกวัดด้วยสกุลเงิน fiat แบบดั้งเดิม เช่น ดอลลาร์สหรัฐ (USD) หรือยูโร (EUR) ในรูปแบบ BTC/USD หรือ BTC/EUR ข้อดีของคู่ลักษณะนี้คือ คุณสามารถเห็นกำไรหรือขาดทุนในสกุลเงินที่คุณคุ้นเคยได้ทันที
อย่างไรก็ตาม คู่เทรดประเภทนี้มีข้อจำกัดคือพบได้ไม่บ่อย และไม่รองรับบนทุกกระดานเทรด
คริปโตต่อ Stablecoin
นี่คือรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด stablecoin คือเหรียญดิจิทัลที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับสินทรัพย์จริง เช่น ดอลลาร์ ยูโร ทองคำ หรือ น้ำมัน
stablecoin ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ Tether (USDT) และ USD Coin (USDC) ซึ่งมีมูลค่าผูกกับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ช่วยให้คุณสามารถซื้อขายระหว่างเหรียญที่มีความผันผวนสูงกับมูลค่าที่มั่นคงของดอลลาร์ได้โดยไม่ต้องถอนเงินออกจากกระดานเทรด ในกรณีนี้ คู่เทรดจะเป็น BTC/USDT หรือ BTC/USDC
วิธีนี้ช่วยให้คุณสามารถล็อกกำไรหรือขาดทุนได้ทันที โดยการแปลงเหรียญของคุณเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและปลอดภัย
คริปโตต่อคริปโต
ในคู่เทรดประเภทนี้ ทั้งเหรียญฐานและเหรียญอ้างอิงจะมีการเปลี่ยนแปลงของราคาอยู่ตลอดเวลา (เช่น BTC/ETH) นักเทรดจะใช้การแลกเปลี่ยนลักษณะนี้เมื่อเชื่อว่าเหรียญหนึ่งจะปรับตัวขึ้นเร็วกว่า หรือปรับตัวลงช้ากว่าอีกเหรียญหนึ่ง หากคุณซื้อ BTC/ETH นั่นหมายความว่าคุณกำลังเดิมพันว่า Bitcoin (BTC) จะมีผลงานดีกว่า Ethereum (ETH)
ความเสี่ยงหลักของการเทรดลักษณะนี้คือ ความผันผวน (volatility) ที่เกิดขึ้นพร้อมกันสองฝั่ง หากราคา BTC ลดลง ในขณะที่ราคา ETH เพิ่มขึ้น คุณจะขาดทุนจากทั้งสองทิศทางพร้อมกัน คู่เทรดลักษณะนี้มีความซับซ้อนมากกว่า และไม่รองรับบนทุกแพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตาม คุณสามารถใช้วิธีอ้อมได้ เช่น แทนที่จะซื้อ BTC ด้วย ETH โดยตรง คุณสามารถขาย ETH เป็น USDT ก่อน (ETH/USDT) แล้วนำ USDT ที่ได้ไปซื้อ BTC (BTC/USDT)
ทำไม USDT และ USDC จึงครองตลาดคู่เทรด
เหตุผลหลักที่ USDT และ USDC ครองความนิยมในคู่เทรดคือ มูลค่าของทั้งสองผูกกับดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ใช้งานสะดวกและสามารถใช้ได้อย่างแพร่หลายทั่วโลก
นอกจากนี้ stablecoin ยังกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะช่วยแก้ปัญหาการชำระบัญชีแบบต่อเนื่องและทันทีในตลาดที่เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์
USDT และ USDC ถูกใช้เป็นสินทรัพย์อ้างอิงในคู่เทรด เนื่องจากมีความเสถียรและถูกใช้อย่างแพร่หลายในตลาดคริปโต ราคาที่คงที่ช่วยให้คุณสามารถล็อกกำไรหรือขาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสมือนการเทรดด้วยเงินจริง
คู่เทรดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุด
สภาพคล่อง (liquidity) คือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของคู่เทรด หากคู่ใดมีสภาพคล่องสูง หมายความว่าคุณสามารถซื้อหรือขายสินทรัพย์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงมาก ยิ่งสภาพคล่องสูงเท่าไร ต้นทุนการเทรดก็ยิ่งต่ำลงเท่านั้น อีกทั้งยังสะท้อนถึงอุปสงค์ที่สูง ซึ่งมักหมายถึงค่าธรรมเนียมที่ต่ำลงด้วย
สภาพคล่องถูกประเมินจากปริมาณการซื้อขายรวม โดยปริมาณแสดงถึงมูลค่าเงินทั้งหมดที่ถูกซื้อขายในคู่เทรดนั้นภายในช่วงเวลาที่เลือก เช่น 24 ชั่วโมง หนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี คู่เทรดที่เป็นผู้นำอันดับต้น ๆ คือคู่ที่ Bitcoin และ Ethereum ถูกอ้างอิงด้วย USDT
จากข้อมูลล่าสุด คู่เทรดที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่:
-
BTC/USDT — ยังคงเป็นผู้นำด้านปริมาณการซื้อขายในทุกแพลตฟอร์ม
-
ETH/USDT — ครองอันดับสองอย่างสม่ำเสมอ
-
SOL/USDT — ปัจจุบันอยู่ในอันดับสาม
คู่เทรดเหล่านี้ โดยเฉพาะ BTC/USDT และ ETH/USDT มักครองตำแหน่งสูงสุดอย่างต่อเนื่องในแต่ละสัปดาห์ แม้ตลาดจะมีความผันผวนเป็นบางช่วง ปริมาณการซื้อขายก็ยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนถึงความต้องการซื้อขายและสภาพคล่องที่มั่นคง
คู่เทรดที่มีสภาพคล่องสูงอื่น ๆ มักเป็นเหรียญ altcoin ที่อ้างอิงด้วย USDT เช่น คู่ของ SOL, LINK เป็นต้น
เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า “คู่เทรด” ไม่ใช่เพียงแค่สัญลักษณ์สองตัวที่คั่นด้วยเครื่องหมายทับ แต่เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ทำให้ตลาดคริปโตสามารถดำเนินไปได้ มันใช้วัดมูลค่าเชิงเปรียบเทียบ และสร้างสภาพคล่องให้กับตลาด
หากคุณยังมีคำถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ในช่องแสดงความคิดเห็น!
ให้คะแนนบทความ

ความคิดเห็น
0
คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น