
Hard Fork ในคริปโตคืออะไร?
นี่คือคำแปลภาษาไทยที่คงรูปแบบต้นฉบับ และใช้คำศัพท์คริปโตตามที่คุณกำหนด พร้อมปรับให้อ่านเข้าใจง่ายและเป็นธรรมชาติสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ด้านคริปโต
คุณเคยได้ยินคำว่า “Hard Fork” ในวงการคริปโตหรือไม่? แม้มันอาจฟังดูซับซ้อน แต่คุณไม่จำเป็นต้องเป็นสายเทคนิคถึงจะเข้าใจได้ วันนี้เราจึงจะพาคุณเจาะลึกแนวคิดนี้และอธิบายให้ชัดเจนขึ้น มาเริ่มกันเลย!
ความหมายของ Hard Fork
ก่อนจะเข้าใจว่า Hard Fork คืออะไร ต้องรู้ก่อนว่า “การ Fork” ของคริปโตหมายถึงอะไร โดยพื้นฐานแล้ว การ Fork คือกระบวนการที่ เครือข่ายบล็อกเชน เดิมซึ่งสกุลเงินทำงานอยู่ มีการอัปเกรดหรือเปลี่ยนแปลงด้านเทคนิค แบ่งได้เป็น 2 ประเภท — Hard Fork และ Soft Fork
Soft Fork คือการเปลี่ยนแปลงที่ยังคงรวมอยู่ในบล็อกเชนเดิม ในขณะที่ Hard Fork คือเหตุการณ์ที่บล็อกเชนเดิมแยกออกเป็น 2 เครือข่ายที่ทำงานแยกจากกันอย่างอิสระเต็มรูปแบบ และก่อให้เกิดโทเคนคริปโตใหม่
กลไกการทำงานของ Hard Fork
Hard Fork เปรียบได้กับการอัปเดตซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์ของคุณ ที่หลังจากอัปเดตแล้วจะไม่สามารถใช้เวอร์ชันเก่าได้อีก โดยมักเกิดขึ้นเมื่อบล็อกเชนเดิมต้องการอัปเกรด — ไม่ว่าจะเพื่อเสริมความปลอดภัยหรือเพิ่มการกระจายอำนาจ — และมีกลุ่มผู้ใช้ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลครั้งใหญ่ของบล็อกเชนเดิม นอกจากนี้ยังอาจเกิดขึ้นเพื่อป้องกันหรือแก้ไขผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดกับ Ethereum
เมื่อเกิด Hard Fork บล็อกเชนของคริปโตจะแยกออกเป็น 2 เครือข่ายที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์ต่างกันในการทำงาน หมายความว่า บล็อกเชนใหม่จะไม่ทำงานภายใต้เงื่อนไขเดียวกับบล็อกเชนเดิม และโทเคนที่เกิดจาก Hard Fork จะไม่เหมือนกับโทเคนเดิมและ ไม่สามารถใช้แทนกันได้ ราคาของสกุลเงินใหม่จะขึ้นอยู่กับดีมานด์ การยอมรับ และซัพพลายของตัวมันเอง โดยมีประวัติธุรกรรมร่วมกับเหรียญเดิมเฉพาะก่อนจุดที่เกิดการ Fork เท่านั้น หลังจากนั้นจะเริ่มเส้นทางของตัวเอง
ความหมายของ Hard Fork สำหรับผู้ใช้
แล้วมันมีผลอย่างไรกับผู้ใช้? เราสรุปสิ่งสำคัญที่ควรรู้ไว้ดังนี้
- การถือครองสินทรัพย์: โดยทั่วไป ผู้ใช้จะได้รับจำนวนเหรียญหรือโทเคนในบล็อกเชนใหม่เท่ากับที่ถืออยู่ในบล็อกเชนเดิม เช่น หากคุณถือ 10 บิทคอยน์ก่อนการ Hard Fork ของบิทคอยน์แคช หลังการแยกคุณจะมีทั้ง 10 BTC และ 10 BCH (ถ้า Fork เกิดในเวลานั้น)
- ความเข้ากันได้และการอัปเดตกระเป๋า: ผู้ใช้อาจต้องอัปเดตกระเป๋าคริปโตหรือเปลี่ยนไปใช้กระเป๋าอื่นเพื่อรองรับบล็อกเชนใหม่ มิฉะนั้นอาจสูญเสียการเข้าถึงเหรียญในเครือข่ายใหม่ได้
- ความผันผวนของตลาด: Hard Fork มักทำให้ตลาดผันผวน เพราะนักเทรดและนักลงทุนเก็งกำไรว่าบล็อกเชนเวอร์ชันใดจะได้รับการยอมรับหรือรักษามูลค่าไว้ได้ ส่งผลให้เกิดการแกว่งตัวของราคาในระยะสั้นและความไม่แน่นอน
- โอกาสหรือความเสี่ยง: Hard Fork อาจมาพร้อมการปรับปรุง เช่น ทำธุรกรรมได้เร็วขึ้นหรือค่าธรรมเนียมต่ำลง แต่ก็อาจสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหรือปัญหาการกำกับดูแล ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
โดยสรุป Hard Fork คือเหตุการณ์สำคัญที่อาจทำให้คุณได้สินทรัพย์เพิ่ม แต่ก็ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้สูญเสียการเข้าถึงเงินของคุณ

ตัวอย่าง Hard Fork ของคริปโตยอดนิยม
เพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้น มาดูตัวอย่าง Hard Fork ที่สำคัญในวงการคริปโตซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศบล็อกเชน
Hard Fork ของ Bitcoin
จนถึงตอนนี้ บล็อกเชนของบิทคอยน์เกิดการ Fork มากกว่า 100 ครั้ง แต่เราจะพูดถึงเฉพาะที่มีผลต่อวงการคริปโตจริงๆ
- Bitcoin (BTC) → Bitcoin Cash (BCH)
- วันที่: 1 สิงหาคม 2017
- เหตุผล: เพื่อแก้ปัญหาความสามารถในการขยายระบบของบิทคอยน์ Hard Fork นี้เพิ่มขนาดบล็อกจาก 1 MB เป็น 8 MB ทำให้ประมวลผลธุรกรรมได้มากขึ้นต่อบล็อก ลดความหนาแน่นและค่าธรรมเนียม
- ผลลัพธ์: Bitcoin Cash มีชุมชนและระบบนิเวศของตัวเอง แต่ BTC ยังคงเป็นคริปโตที่ได้รับการยอมรับและมีมูลค่ามากที่สุด
- Bitcoin (BTC) → Bitcoin SV (BSV)
- วันที่: 15 พฤศจิกายน 2018
- เหตุผล: เกิดจากความขัดแย้งในชุมชน Bitcoin Cash เกี่ยวกับทิศทางในอนาคต กลุ่มหนึ่งต้องการขนาดบล็อกใหญ่ขึ้นและกลับไปยึดวิสัยทัศน์เดิมของ Satoshi Nakamoto ในขณะที่อีกกลุ่มต้องการแนวทางที่ค่อยเป็นค่อยไป
- ผลลัพธ์: Bitcoin SV เพิ่มขนาดบล็อกเป็น 128 MB และมุ่งเน้นการใช้งานทางธุรกิจ แต่ยังคงเป็นเหรียญขอบตลาดและมีข้อถกเถียงมากมาย
- Bitcoin (BTC) → Bitcoin Gold (BTG)
- วันที่: 24 ตุลาคม 2017
- เหตุผล: เพื่อกระจายการขุดให้ผู้ใช้ทั่วไป โดยเปลี่ยนไปใช้อัลกอริทึม Equihash ซึ่งเหมาะกับการขุดด้วย GPU มากกว่าเครื่อง ASIC
- ผลลัพธ์: BTG ไม่ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายเท่า BTC แต่ก็ยังมีฐานผู้ใช้และเป็นหนึ่งในเหรียญตระกูล Bitcoin ที่คนรู้จักมากที่สุด
Hard Fork ของ Ethereum
Ethereum เป็นคริปโตที่คนมักนึกถึงเมื่อพูดถึง Hard Fork โดยเฉพาะที่เกิดจากการโจมตีของแฮกเกอร์
- Ethereum (ETH) → Ethereum Classic (ETC)
- วันที่: 20 กรกฎาคม 2016
- เหตุผล: เกิดจากการแฮ็ก DAO ที่ทำให้สูญเสีย Ether จำนวนมาก ชุมชน Ethereum ตัดสินใจย้อนบล็อกเชนไปก่อนการโจมตี แต่บางส่วนไม่เห็นด้วยและใช้เครือข่ายเดิมต่อไป จึงเกิดเป็น Ethereum Classic
- ผลลัพธ์: ETH ใช้เครือข่ายใหม่ ส่วน ETC ใช้เครือข่ายเดิม ซึ่งยังคงอยู่แต่มีการใช้น้อยกว่า
- Ethereum (ETH) → Ethereum 2.0 (Eth2)
- วันที่: ดำเนินการเป็นเฟส
- เหตุผล: การเปลี่ยนกลไกจาก Proof of Work (PoW) ไปเป็น Proof of Stake (PoS) เพื่อลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกรรม ถือเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างหลักของระบบ
- ผลลัพธ์: ทำให้ Ethereum มีความปลอดภัย ขยายระบบได้ดีขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง โดยยังอยู่ระหว่างการอัปเกรด
Hard Fork ของ Zcash
Zcash (ZEC) → Ycash (YEC)
- วันที่: 18 กรกฎาคม 2019
- เหตุผล: เพื่อตัดระบบ “Founders’ Reward” ที่กันรางวัลขุดให้กับทีมพัฒนาและผู้ก่อตั้ง Ycash เน้นการพัฒนาโดยชุมชนมากกว่าการควบคุมแบบรวมศูนย์
- ผลลัพธ์: Ycash ยังไม่เป็นที่นิยมเท่า Zcash แต่ก็ยังคงทำงานอยู่
Hard Fork ของ Dash
Dash (Darkcoin เดิม) → Dash (DAO)
- วันที่: มีนาคม 2015
- เหตุผล: เกิดจากการรีแบรนด์และการตัดสินใจของชุมชน เพื่อเพิ่มความโปร่งใส การกำกับดูแล และฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัว
- ผลลัพธ์: Dash กลายเป็นหนึ่งในเหรียญ privacy ที่ใหญ่ที่สุดและยังอยู่ในกลุ่มท็อป 20 ของมูลค่าตลาด
ดังนั้น Hard Fork สามารถเกิดได้กับคริปโตใดๆ บนบล็อกเชนใดๆ หากชุมชนเห็นว่าจำเป็นต้องอัปเกรดครั้งใหญ่หรือป้องกันการโจมตี มันไม่ได้หมายความว่าบล็อกเชนเดิมจะหายไป หรือเหรียญใหม่จะดีกว่าเดิมเสมอ สิ่งสำคัญคือคุณต้องทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและเตรียมพร้อมรับมือ
คุณคิดอย่างไรกับ Hard Fork? เคยมีประสบการณ์เจอด้วยตัวเองหรือไม่? มาแชร์ในคอมเมนต์กัน!
ให้คะแนนบทความ




ความคิดเห็น
0
คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น