
วิธีการอ่านกราฟคริปโตเคอร์เรนซี
ในโลกของคริปโตเคอร์เรนซี การเคลื่อนไหวในตลาดแต่ละครั้งอาจตัดสินผลลัพธ์ได้ หากคุณจริงจังกับการลงทุนและการเติบโตของทุน การเข้าใจกระแสกราฟคริปโตเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุด
ตอนแรกกราฟอาจดูสับสน: เส้น, แท่ง, รูปร่างแปลกๆ และตัวเลขจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงมันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับผู้ที่ต้องการบริหารการลงทุนของตนอย่างชาญฉลาด นี่คือส่วนหนึ่งของ การวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อค้นหารูปแบบที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมของตลาดได้ดียิ่งขึ้น ตอนนี้เรามาหาคำตอบกันว่า มีประเภทกราฟอะไรบ้างและจะตีความมันอย่างไร

ประเภทของกราฟคริปโต
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันว่า กราฟคริปโตเคอร์เรนซี คืออะไร กราฟคริปโตเป็นการแสดงการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่งๆ กราฟคริปโตช่วยเทรดเดอร์และนักลงทุนเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของราคาและทำการตัดสินใจซื้อหรือขายตามข้อมูลจากกราฟ
ด้วยเครื่องมือเหล่านี้ผู้ใช้งานสามารถสำรวจแนวโน้มหลัก ประเมินความรู้สึกของตลาด และแม้กระทั่งทำนายพฤติกรรมในอนาคตของตลาด มาลงรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทหลักๆ ของกราฟคริปโตแต่ละประเภทที่มอบข้อมูลเชิงลึกที่ไม่เหมือนกันในตลาด
กราฟเส้น (Line Charts)
กราฟเส้นเป็นหนึ่งในประเภทกราฟที่ง่ายที่สุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และเข้าใจง่าย มันเน้นที่ราคาปิดในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น วัน สัปดาห์ หรือเดือน ราคาปิดจะถูกแสดงในกราฟเป็นจุดแล้วเชื่อมต่อด้วยเส้นตรง ประเภทกราฟนี้จะลดการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ไม่สำคัญออกไปและช่วยในการระบุแนวโน้มระยะยาวโดยไม่ถูกเบี่ยงเบนไปที่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของราคา
เมื่อใช้: เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ชอบภาพรวมที่ง่ายเกี่ยวกับประสิทธิภาพในอดีตของสินทรัพย์ กราฟเส้นมีประโยชน์โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องการประเมินทิศทางทั่วไปของตลาดได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงรายละเอียด
ตัวอย่าง: หากคุณกำลังวิเคราะห์ประสิทธิภาพของ Bitcoin ในปีที่ผ่านมา กราฟเส้นจะแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มเป็นขาขึ้น ขาลง หรือแบน โดยให้ข้อมูลที่รวดเร็วเกี่ยวกับทิศทางที่ตลาดจะไป

กราฟแท่ง (Bar Charts)
กราฟแท่งให้มุมมองที่ละเอียดขึ้นโดยแสดงราคาหลักสี่จุดสำหรับแต่ละช่วงเวลา: ราคาเปิด ราคาเปิดปิด ราคาเต็มและราคาต่ำ แต่ละแท่งในกราฟจะมีเส้นตั้ง (แสดงช่วงจากราคาต่ำสุดถึงสูงสุด) โดยมีการทำเครื่องหมายในสองด้านของเส้นที่แสดงราคาเปิดและราคาเปิดปิด
เมื่อใช้: เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการเจาะลึกในการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาเฉพาะ กราฟแท่งสามารถแสดงความผันผวนของตลาดและช่วยในการระบุระดับการสนับสนุนและการต้านทาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อหรือขาย
ตัวอย่าง: หากคุณกำลังตรวจสอบการเคลื่อนไหวของราคา Ethereum ในแต่ละวัน กราฟแท่งสามารถแสดงให้เห็นว่าตลาดตอบสนองต่อข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญอย่างไร ทำให้คุณสามารถระบุรูปแบบต่างๆ เช่น การรวมตัวของราคา หรือระดับการเบรก

กราฟแท่งเทียน (Candlestick Charts)
กราฟแท่งเทียนเป็นหนึ่งในประเภทกราฟที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่เทรดเดอร์คริปโตที่มีประสบการณ์ กราฟแท่งเทียนจะแสดงข้อมูลเดียวกับกราฟแท่ง (ราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุด) แต่จะนำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่ายและเห็นภาพชัดเจนกว่า “แท่ง” แต่ละอันจะประกอบไปด้วยตัวตัด (ช่วงระหว่างราคาเปิดและราคาปิด) และขีด (เส้นที่ยืดออกเหนือและใต้ตัวตัดเพื่อแสดงราคาเกินสุดและต่ำสุด) เทียนสีเขียวหรือขาวบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวขาขึ้น (bullish) ขณะที่เทียนสีแดงหรือดำบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวขาลง (bearish)
เมื่อใช้: เหมาะสำหรับการระบุอารมณ์ของตลาดระยะสั้นและสังเกตรูปแบบหรือการกลับตัวของแนวโน้ม เทรดเดอร์มักใช้รูปแบบแท่งเทียน เช่น "Doji," "Hammer," หรือ "Engulfing" เพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดและทำการตัดสินใจที่มีข้อมูลรองรับ
ตัวอย่าง: การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนรายชั่วโมงของ Bitcoin ในช่วงที่มีความผันผวนสูงสามารถช่วยให้คุณตรวจจับได้ว่าแนวโน้มกำลังจะกลับตัวหรือไม่ โดยอาศัยรูปแบบเช่น "Bullish Engulfing" ซึ่งสามารถบ่งชี้การกลับตัวของราคา

กราฟจุดและตัวเลข (Point & Figure Charts)
แตกต่างจากกราฟประเภทอื่น ๆ กราฟ Point & Figure (P&F) จะเน้นที่การเคลื่อนไหวของราคาที่สำคัญเท่านั้น โดยกรองการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยออกไปและไม่สนใจเวลา กราฟนี้ใช้ "X" แทนการเคลื่อนไหวขึ้นและ "O" แทนการเคลื่อนไหวลง ผลลัพธ์คือนำเสนอมุมมองที่ชัดเจนของอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งช่วยให้สามารถสังเกตการเบรกเอาท์และการกลับตัวได้ง่ายขึ้น
เมื่อใช้: เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ระยะยาวที่เน้นการเปลี่ยนแปลงราคาที่สำคัญและการกรองเสียงรบกวนในตลาด กราฟ P&F มีประสิทธิภาพในการระบุระดับการสนับสนุนและการต้านทาน และทำนายแนวโน้มระยะยาว
ตัวอย่าง: การใช้กราฟ Point & Figure ในการวิเคราะห์ประวัติราคาของสินทรัพย์ที่มีความผันผวนน้อย เช่น Chainlink สามารถช่วยให้คุณระบุเมื่อมันใกล้จะถึงระดับการต้านทานสำคัญ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการเบรกเอาท์

องค์ประกอบพื้นฐานของกราฟคริปโตเคอร์เรนซี
เพื่อที่จะวิเคราะห์กราฟคริปโตเคอร์เรนซีได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจองค์ประกอบหลักของกราฟแต่ละประเภทไม่ว่าจะเป็นกราฟเส้นหรือกราฟแท่งเทียน โดยจะมีส่วนประกอบที่สำคัญที่แสดงข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ของตลาด มาดูกันว่าองค์ประกอบเหล่านี้คืออะไร
กรอบเวลา (Timeframe)
กรอบเวลา หมายถึงช่วงเวลาที่ครอบคลุมข้อมูลแต่ละจุดในกราฟ ซึ่งสามารถเป็นตั้งแต่หลายนาที ชั่วโมง วัน สัปดาห์ หรือแม้กระทั่งเดือน เช่น กราฟ 1 ชั่วโมงจะแสดงให้เห็นว่าราคาเปลี่ยนแปลงอย่างไรภายในหนึ่งชั่วโมง ขณะที่กราฟรายวันจะแสดงการเคลื่อนไหวของราคาในแต่ละวัน
- กรอบเวลาแบบสั้น (เช่น 5 นาที 15 นาที หรือ 1 ชั่วโมง) ใช้บ่อยโดยเทรดเดอร์รายวันและผู้ที่ทำการซื้อขายแบบสเกลปเปอร์เพื่อทำการซื้อขายที่รวดเร็ว
- กรอบเวลาแบบยาว (เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน) มีประโยชน์สำหรับผู้ที่ทำการเทรดระยะกลางหรือระยะยาวที่ต้องการจับแนวโน้มที่กว้างขึ้น
ราคา (แกน Y) และเวลา (แกน X)
กราฟคริปโตทุกประเภทจะมี แกน Y (แนวตั้ง) ซึ่งแสดงราคาของสินทรัพย์ที่เฉพาะเจาะจง และ แกน X (แนวนอน) ซึ่งแสดงเวลา การใช้แกนเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งได้
- สเกลราคา: บนแกน Y ราคาสามารถแสดงได้ทั้งในรูปแบบเส้นตรงหรือลอการิธึม ซึ่งเส้นลอการิธึมจะใช้บ่อยกับสินทรัพย์อย่าง Bitcoin ที่การเปลี่ยนแปลงของราคาสามารถเป็นแบบยกกำลัง
- สเกลเวลา: แกน X แสดงกรอบเวลา โดยสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาที่เลือก
เส้นแนวโน้มและระดับการสนับสนุน/ต้านทาน
เส้นแนวโน้ม คือเส้นทแยงมุมที่วาดบนกราฟเพื่อระบุทิศทางของการเคลื่อนไหวของราคา (แนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง) เส้นเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถยืนยันแนวโน้มและทำนายการเคลื่อนไหวของราคาต่อไปได้
- ระดับการสนับสนุน: เส้นแนวนอนที่วาดที่ระดับราคาที่สินทรัพย์มักจะพบการสนับสนุนจากผู้ซื้อ ทำให้ราคาหยุดการตกลง
- ระดับการต้านทาน: เส้นแนวนอนที่ราคามักจะพบการขายที่มีแรงกดดัน ทำให้ราคาหยุดการขึ้น
ตัวชี้วัดสำคัญ (Key Indicators)
ในการวิเคราะห์กราฟคริปโตเคอร์เรนซีอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจตัวชี้วัดหลักที่ช่วยเปิดเผยแนวโน้มของตลาดและช่วยทำนายการเคลื่อนไหวของราคา มาดูกันว่า ตัวชี้วัดที่ใช้กันบ่อยและมีประสิทธิภาพที่สุดมีอะไรบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average, MA)
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ใช้เพื่อทำให้การเคลื่อนไหวของราคามีความราบรื่นและช่วยระบุทิศทางโดยรวมของแนวโน้ม
-
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย (SMA): คำนวณจากราคาปิดกลางระหว่างจำนวนช่วงเวลา ตัวอย่าง: สมมติว่า Bitcoin ปิดที่ $30,000, $31,000, $32,000, $31,500, และ $33,000 ในช่วงเวลาห้าวัน ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่ายสำหรับช่วงเวลา 5 วันจะคำนวณได้จากการนำยอดรวมทั้งหมดมาหารด้วย 5 (30,000 + 31,000 + 32,000 + 31,500 + 33,000) หารด้วย 5 = $31,500
-
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเลขยกกำลัง (EMA): ให้ความสำคัญมากขึ้นกับราคาล่าสุดทำให้มันตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ดีขึ้น ตัวอย่าง: สมมติว่า Bitcoin ปิดที่ $30,000, $31,000, $32,000, $31,500, และ $33,000 ในช่วงห้าวัน ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเลขยกกำลังสำหรับวันที่ห้า โดยมีค่า EMA ก่อนหน้าเป็น $31,000 และ k=2/(5+1)=0.333, จะได้ค่า: EMA = (33,000 × 0.333) + (31,000 × 0.667) = 10,989 + 20,667 = 31,656
วิธีการทำงาน: หากราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ อาจบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้น แต่หากราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อาจบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวขาลง
ดัชนีความแข็งแรงสัมพัทธ์ (RSI)
RSI ใช้วัดความแข็งแรงของแนวโน้มและแสดงว่าเป็นสินทรัพย์ที่ถูกซื้อเกินไปหรือขายเกินไป ดัชนี RSI มีค่าระหว่าง 0 ถึง 100
ตัวอย่าง: ในช่วง 14 วัน Crypto X มีการเพิ่มเฉลี่ย $500 และการสูญเสียเฉลี่ย $300
การคำนวณ RSI คือ: RSI = 100 - (100/(1+RS)) ซึ่ง RS = 500/300 = 1.67 ดังนั้น RSI จะได้เป็น 62.5
- มากกว่า 70 บ่งบอกถึงสภาวะซื้อเกิน และอาจมีการปรับลดราคา
- ต่ำกว่า 30 บ่งบอกถึงสภาวะขายเกิน และอาจมีการปรับราคาขึ้น
วิธีการทำงาน: RSI มีประโยชน์ในการหาจุดเข้าและออกเมื่อตลาดถูกซื้อเกินไปหรือขายเกินไป
ปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume)
ปริมาณการซื้อขายแสดงให้เห็นว่าได้มีการซื้อขายสินทรัพย์มากน้อยแค่ไหนในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปกติจะมีการแสดงในกราฟเป็นแท่งแนวตั้งด้านล่างกราฟหลัก
- ปริมาณเพิ่มขึ้นพร้อมกับราคาที่เพิ่มขึ้น ยืนยันแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
- ปริมาณลดลงพร้อมกับราคาที่เพิ่มขึ้น อาจบ่งบอกถึงการอ่อนแอของแนวโน้มและการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น
วิธีการทำงาน: ปริมาณการซื้อขายที่สูงมักยืนยันความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวราคา ในขณะที่ปริมาณที่ต่ำอาจบ่งบอกถึงความไม่แน่นอน
โบลลินเจอร์แบนด์ (Bollinger Bands)
โบลลินเจอร์แบนด์ใช้ในการวัดความผันผวนของตลาดและสามารถช่วยในการระบุการกลับตัวของราคา
- แบนด์ขยายออก แสดงถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้น
- แบนด์หดตัว แสดงถึงความผันผวนที่ลดลงและการเบรกเอาท์ที่อาจเกิดขึ้น
ตัวอย่าง: สมมติว่าช่วง 20 วันที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ SMA อยู่ที่ $50 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของราคาคือ $5 คำนวณแบนด์โบลลินเจอร์ได้ดังนี้:
- แบนด์บน: SMA + (2 * ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) = 50 + (2 * 5) = 60
- แบนด์ล่าง: SMA - (2 * ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) = 50 - (2 * 5) = 40
วิธีการทำงาน: หากราคาตีแบนด์บน สินทรัพย์อาจถูกซื้อเกินไป แต่หากราคาตีแบนด์ล่าง สินทรัพย์อาจถูกขายเกินไป
ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators)

ตัวชี้วัดทางเทคนิคช่วยให้เทรดเดอร์ได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพลศาสตร์ของตลาดและช่วยในการตัดสินใจที่มีข้อมูลรองรับ นี่คือตัวชี้วัดที่ใช้กันบ่อยในกราฟการเทรดคริปโต
การรวมตัวและการแยกตัวของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MACD)
MACD ช่วยในการระบุการเปลี่ยนแปลงของความแข็งแรง ทิศทาง และโมเมนตัมของแนวโน้ม
- ประกอบด้วย สองเส้น: เส้น MACD (ผลต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองค่า) และเส้นสัญญาณ
- สัญญาณการข้าม: หาก MACD ข้ามขึ้นเหนือเส้นสัญญาณ เป็นสัญญาณการซื้อ หากข้ามลงต่ำกว่าเป็นสัญญาณการขาย
วิธีการใช้งาน: ใช้ในการสังเกตการกลับตัวของแนวโน้มและยืนยันแนวโน้มที่มีอยู่
ฟีโบนาชี รีเทรซเมนต์ (Fibonacci Retracement)
เครื่องมือนี้ใช้ในการระบุระดับการสนับสนุนและการต้านทานที่เป็นไปได้ตามลำดับฟีโบนาชี
ระดับการฟื้นตัวหลัก: 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, และ 78.6%
วิธีการใช้งาน: ใช้ในการทำนายระดับการย้อนกลับที่ราคาสามารถกลับตัวได้ในระหว่างแนวโน้ม
ตัวบ่งชี้สโทคาสติก (Stochastic Oscillator)
ตัวบ่งชี้นี้เปรียบเทียบราคาปัจจุบันของคริปโตกับช่วงราคาของมันในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยในการระบุสภาวะซื้อเกินหรือขายเกิน
- มากกว่า 80: ซื้อเกิน อาจมีการกลับตัวลง
- ต่ำกว่า 20: ขายเกิน อาจมีการกลับตัวขึ้น
วิธีการทำงาน: ตัวบ่งชี้สโทคาสติกมีประสิทธิภาพเมื่อใช้งานร่วมกับตัวบ่งชี้อื่น ๆ เพื่อยืนยันจุดเข้าและออกจากตลาด
ช่วงความจริงเฉลี่ย (Average True Range, ATR)
ATR วัดความผันผวนของตลาดโดยแสดงช่วงการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด
- ATR สูง บ่งบอกถึงความผันผวนสูง และมีศักยภาพในการเคลื่อนไหวของราคาอย่างมาก
- ATR ต่ำ แสดงถึงตลาดที่สงบและมีการเคลื่อนไหวของราคาน้อย
วิธีการใช้งาน: มักใช้ในการตั้งระดับ stop-loss และการจัดการความเสี่ยงในตลาดที่มีความผันผวนสูง
รูปแบบกราฟ (Chart Patterns)
รูปแบบกราฟคือการสร้างรูปทรงที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของราคาในกราฟตลอดระยะเวลาหนึ่ง รูปแบบเหล่านี้ใช้โดยเทรดเดอร์เพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของราคาที่ยังไม่เกิดขึ้น ระบุการกลับตัวของแนวโน้ม หรือยืนยันระยะเวลาในการเคลื่อนไหวของแนวโน้ม การเข้าใจรูปแบบเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเทรดคริปโตเคอร์เรนซี เพราะมันให้ข้อมูลเชิงลึกสำคัญเกี่ยวกับจิตวิทยาของตลาดและพลศาสตร์ของราคา
หัวและไหล่ (Head and Shoulders)

รูปแบบ หัวและไหล่ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม ซึ่งมักจะเกิดจากการเปลี่ยนจากขาขึ้นไปขาลง โดยประกอบไปด้วยยอดสามจุด:
- ไหล่ซ้าย: การเพิ่มขึ้นของราคาแล้วตามด้วยการลดลง
- หัว: ยอดที่สูงกว่าค่าไหล่ซ้าย ตามด้วยการลดลง
- ไหล่ขวา: ยอดที่ต่ำกว่าหัวแต่สูงใกล้เคียงกับไหล่ซ้าย ตามด้วยการลดลงอีก
วิธีการใช้งาน: เมื่อราคาทะลุลงจาก "เส้นคอ" (เส้นที่วาดผ่านจุดต่ำสุดของรอยยุบทั้งสอง) แสดงถึงการกลับตัวเป็นขาลง และเทรดเดอร์อาจมองหาสัญญาณการขาย
ดับเบิลท็อป (Double Top)

รูปแบบ ดับเบิลท็อป แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังอ่อนแอลงและอาจจะกลับตัว รูปแบบนี้ประกอบไปด้วยยอดสองจุดที่ระดับราคาใกล้เคียงกัน ซึ่งแสดงถึงการต้านทาน จุดยอดแรกตามด้วยการลดลง และจากนั้นราคาขึ้นอีกครั้งจนถึงยอดที่สองใกล้เคียงกับยอดแรก
วิธีการใช้งาน: เมื่อราคาทะลุลงจากหุบเขาระหว่างยอดทั้งสอง แสดงถึงการกลับตัวเป็นขาลง และเทรดเดอร์อาจมองหาสัญญาณการขาย
ดับเบิลบอททอม (Double Bottom)

รูปแบบ ดับเบิลบอททอม แสดงถึงการกลับตัวเป็นขาขึ้น โดยมักจะเกิดเมื่อแนวโน้มขาลงสิ้นสุดลง รูปแบบนี้ประกอบไปด้วย:
- การลดลงของราคาแล้วตามด้วยการขึ้นเล็กน้อย
- การลดลงครั้งที่สองจนถึงระดับเดียวกับครั้งแรก ตามด้วยการขึ้นอีกครั้ง
วิธีการใช้งาน: เมื่อราคาทะลุขึ้นเหนือระดับการต้านทานที่เกิดจากจุดยอดระหว่างจุดต่ำ มันบ่งบอกถึงการกลับตัวเป็นขาขึ้น และเทรดเดอร์อาจมองหาสัญญาณการซื้อ
รูปแบบสามเหลี่ยม (Triangles)

รูปแบบสามเหลี่ยมเป็นรูปแบบที่บ่งบอกถึงการดำเนินต่อของแนวโน้ม ซึ่งแสดงถึงการหยุดพักในแนวโน้มปัจจุบันก่อนที่ราคาจะกลับไปในทิศทางเดิม ประเภทหลักๆ ของสามเหลี่ยมมีสามประเภท:
- สามเหลี่ยมขาขึ้น (Ascending Triangle): ระดับต้านทานบนที่แบนและระดับการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้น แสดงว่าผู้ซื้อกำลังผลักดันราคาไปข้างบน และมีโอกาสที่จะเบรกเอาท์ไปขาขึ้น
- สามเหลี่ยมขาลง (Descending Triangle): ระดับการสนับสนุนที่แบนและระดับต้านทานที่ลดลง แสดงว่าผู้ขายกำลังมีอำนาจเหนือ และมีโอกาสที่จะเบรกเอาท์ไปขาลง
- สามเหลี่ยมสมมาตร (Symmetrical Triangle): ทั้งระดับการสนับสนุนและต้านทานกำลังยุบเข้าหากัน ซึ่งบ่งบอกถึงความไม่แน่นอนในตลาด อาจเกิดเบรกเอาท์ได้ทั้งสองทิศทาง และเทรดเดอร์มักจะรอให้เบรกเอาท์เกิดขึ้นเพื่อตัดสินใจทิศทางถัดไป
วิธีการใช้งาน: เทรดเดอร์มักจะมองหาการเบรกเอาท์จากรูปแบบสามเหลี่ยม โดยทิศทางการเบรกเอาท์จะยืนยันการดำเนินต่อของแนวโน้มที่มีอยู่
ธงและธงปลาย (Flags and Pennants)

ธงและธงปลายเป็นรูปแบบการดำเนินต่อในระยะสั้นที่แสดงถึงการรวมตัวก่อนที่แนวโน้มจะดำเนินต่อไป
- ธง (Flag): รูปแบบการรวมตัวที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ลาดไปในทิศทางตรงข้ามกับแนวโน้มที่มีอยู่
- ธงปลาย (Pennant): รูปสามเหลี่ยมที่เล็กลงซึ่งเกิดหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่ง
วิธีการใช้งาน: รูปแบบทั้งสองบ่งบอกว่าแนวโน้มที่แข็งแกร่งมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปเมื่อราคาทะลุออกไปในทิศทางที่แนวโน้มเดิมไป
วิธีการอ่านกราฟคริปโตเพื่อการเทรดที่สำเร็จ?
การเทรดคริปโตเคอร์เรนซี อย่างมีประสิทธิภาพนั้นสิ่งสำคัญคือการเข้าใจวิธีการอ่านกราฟและการตีความข้อมูลที่กราฟแสดงออกมา กราฟช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดปัจจุบัน จุดเข้าและออกที่เป็นไปได้ และสามารถช่วยทำนายการเคลื่อนไหวของราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มาทำการแบ่งขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์กราฟคริปโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำการตัดสินใจในการเทรดอย่างมีข้อมูล
- ระบุแนวโน้มของตลาด: กำหนดว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ขาลง หรือเคลื่อนไหวข้างๆ นี้จะช่วยให้คุณสอดคล้องการเทรดกับทิศทางตลาดโดยรวม
- หาจุดการสนับสนุนและการต้านทานที่สำคัญ: มองหาจุดราคาที่ตลาดเคยกลับตัวในอดีต ระดับการสนับสนุนทำหน้าที่เป็นพื้น และระดับการต้านทานทำหน้าที่เป็นเพดาน ตัวชี้วัดเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจจุดเข้าและออก
- ระบุรูปแบบกราฟ: ระบุรูปแบบที่พบได้บ่อย เช่น หัวและไหล่ ดับเบิลท็อป และสามเหลี่ยม ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม
- ใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค: ใช้ตัวชี้วัดเช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ RSI MACD หรือ Bollinger Bands เพื่อยืนยันแนวโน้มของตลาดและจุดเข้า/ออกที่เป็นไปได้ ตัวชี้วัดเหล่านี้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโมเมนตัมและความแข็งแกร่งของตลาด
- เลือกกรอบเวลาให้เหมาะสม: เลือกกรอบเวลาที่สอดคล้องกับสไตล์การเทรดของคุณ—ระยะสั้นสำหรับการสเกลปหรือการเทรดรายวัน ระยะกลางสำหรับการเทรดสวิง หรือระยะยาวสำหรับการเทรดตามตำแหน่ง
- ตั้งคำสั่ง stop-loss และ take-profit: ปกป้องการเทรดของคุณโดยการตั้งค่าระดับ stop-loss และ take-profit ตามระดับการสนับสนุนและการต้านทานที่สำคัญ ซึ่งช่วยในการจัดการความเสี่ยงและล็อกกำไร
- ติดตามและปรับกลยุทธ์: คอยติดตามกราฟและปรับกลยุทธ์หากสถานการณ์ในตลาดเปลี่ยนไป ความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปรับตัวให้เข้ากับตลาดคริปโตที่มีความผันผวน
การอ่านกราฟคริปโตเคอร์เรนซีเป็นทักษะพื้นฐานสำหรับทุกคนที่ต้องการประสบความสำเร็จในการเทรดคริปโต ด้วยการเข้าใจพื้นฐานของประเภทกราฟ การระบุรูปแบบ และการใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค เทรดเดอร์สามารถทำการตัดสินใจที่มีข้อมูลรองรับและทำกำไรได้มากขึ้น หวังว่าคู่มือที่เราได้จัดเตรียมให้จะช่วยให้คุณเข้าใจหัวข้อนี้ได้ดีขึ้น
ให้คะแนนบทความ




ความคิดเห็น
0
คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น