พื้นฐานการทำ Arbitrage ในคริปโต

เคยได้ยินเรื่องการทำ Arbitrage ในคริปโตไหม? ตอนแรกแนวคิดนี้อาจดูซับซ้อนและเข้าใจยาก แต่ขอสัญญาเลยว่าเมื่อเข้าใจแก่นแล้ว ทุกอย่างจะชัดขึ้นมาก ในบทความนี้เราจะค่อย ๆ อธิบายทีละขั้นตอน และช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าวิธีเทรดนี้เหมาะกับแผนการเงินของคุณหรือไม่

Crypto Arbitrage คืออะไร?

Crypto arbitrage คือชุดกลยุทธ์ทางการเงินที่เทรดเดอร์ทำกำไรจากส่วนต่างของราคาสินทรัพย์เดียวกันระหว่างหลาย exchange ไม่ใช่ความลับว่าราคาใน exchange มักต่างกันสำหรับเหรียญเดียวกันเพราะอุปสงค์ อุปทาน ปริมาณการเทรด หรือความแตกต่างตามภูมิภาค และ arbitrage ก็ใช้ประโยชน์จากจุดนี้ในฐานะวิธีเทรดที่ความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสทำกำไรได้ ในหลายประเทศ crypto arbitrage เป็นเรื่องถูกกฎหมาย แต่เทรดเดอร์ก็ควรศึกษากฎระเบียบท้องถิ่นอย่างรอบคอบ

การทำ crypto arbitrage ไม่จำเป็นต้องเป็นมืออาชีพหรือรู้เทคนิคเชิงลึกทั้งหมดและจับทุกรายละเอียดการเคลื่อนไหวของตลาด กลยุทธ์นี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา มีทั้งแบบง่ายและแบบขั้นสูงให้เลือกตามสไตล์นักลงทุน แต่ต้องระวัง: คำว่า “ความเสี่ยงต่ำ” ไม่ได้แปลว่า “ขาดทุนไม่ได้” หรือ “ทำกำไรได้เสมอ” — กลยุทธ์ที่รับประกันผลแบบนั้นไม่มีอยู่จริง

ทำงานอย่างไร?

สมมติ Bitcoin ราคา $100,000 บน Exchange A แต่บน Exchange B ราคา $100,500 หากซื้อบน A แล้วรีบไปขายบน B ก็จะได้กำไร $500 คำว่า “รีบ” สำคัญมากเพราะตลาดคริปโตผันผวนและเปลี่ยนเร็ว ความเร็วคือกุญแจของ crypto arbitrage หากช้าไป ราคาใน Exchange B อาจลดต่ำกว่า $100,000 จนไม่เพียงพลาดกำไร แต่ยังขาดทุนจากเงินต้นด้วย

แน่นอน ตัวอย่างส่วนต่าง $500 เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ปกติส่วนต่างจะมีเพียงประมาณ $1–3 หรือแม้แต่ $0.1–0.2 ซึ่งผันผวนทุกวินาที ทำให้ยิ่งต้องพึ่งพาความเร็วมากขึ้น

กลยุทธ์ Crypto Arbitrage

เมื่อเข้าใจแกนหลักของ crypto arbitrage แล้ว มาดูวิธีการที่นิยมใช้อิงกับแนวคิดนี้ โดยแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม: cross-exchange, intra-exchange และ options trading arbitrage

Cross-Exchange Arbitrage

วิธีที่พบบ่อยที่สุด มุ่งทำกำไรจากส่วนต่างราคาของเหรียญเดียวกันระหว่าง exchange ต่าง ๆ โดยมีหลายรูปแบบตามคุณลักษณะของแต่ละ exchange

1. Standard arbitrage: ตามตัวอย่าง Bitcoin ซื้อที่ exchange ที่ราคาถูกและขายที่ exchange ที่ราคาแพงกว่า

2. Spatial arbitrage: อาศัยความต่างด้านภูมิศาสตร์ Exchange ในภูมิภาคต่างกันอาจมีราคาคลาดเคลื่อนจากอุปสงค์ในพื้นที่ สภาพคล่อง หรือกฎระเบียบ เทรดเดอร์ใช้ช่องว่างนี้เพื่อทำกำไร

3. Decentralized arbitrage: ใช้ความต่างระหว่าง CEX (centralized exchanges) และ DEX (decentralized exchanges) ราคาบน DEX มักต่างกันเพราะสภาพคล่องและพลวัตตลาด อ่านเพิ่มเติม: เปรียบเทียบ CEX vs DEX

Intra-Exchange Arbitrage

ใช้ประโยชน์จากส่วนต่างราคาภายใน exchange เดียวกัน เกิดขึ้นเมื่อมีความคลาดเคลื่อนของราคาในคู่เหรียญเดียวกันระหว่างตลาด/คู่เทรดต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มเดียว โดยทำได้ 2 วิธีหลัก:

1. Triangular arbitrage: ใช้เหรียญหรือคู่ 3 แบบใน exchange เดียวเพื่อเก็บเกี่ยวส่วนต่าง เช่น แปลง BTC → ETH, ETH → USDT แล้ว USDT → BTC เพื่อรับส่วนต่างตามทาง สำหรับแนวทางนี้สามารถใช้ Cryptomus ที่มี spot trading จับคู่นักขายและนักซื้ออัตโนมัติ ค่าธรรมเนียมเทรดต่ำ (maker 0.08%–0.01%, taker 0.1%–0.04%) และไม่มีค่าฝาก

2. Peer-to-Peer (P2P) arbitrage: ซื้อคริปโตจากผู้ขายรายบุคคลบนแพลตฟอร์ม P2P (เช่น Cryptomus P2P) ในราคาต่ำ แล้วขายต่อให้ผู้ซื้อที่ยอมจ่ายแพงกว่า

Options Trading Arbitrage

ใช้ความไม่สมบูรณ์ของราคาระหว่างตลาดออปชัน (อนุพันธ์คริปโต) กับสินทรัพย์อ้างอิงในตลาดสปอต รูปแบบที่พบบ่อย:

1. Futures/spot arbitrage: เล่นส่วนต่างระหว่างราคา spot กับราคา futures มักใช้โดยมืออาชีพ โดยเฉพาะเมื่อราคาทั้งสองเบี่ยงจากกันเพราะมุมมองตลาด

2. Funding fee arbitrage: ตลาด futures มักมี “funding fee” สำหรับการถือสถานะข้ามคืน ค่าธรรมเนียมนี้บางครั้งสูง/ต่ำกว่าต้นทุนกู้ยืมหรือราคาเหรียญเอง เทรดเดอร์จึงวาง long/short ใน futures และใช้ spot เพื่อ “ล็อก” กำไรจาก funding

3. Put-call parity arbitrage: ใช้ความสัมพันธ์ราคาที่พึงเป็นระหว่างสัญญา call และ put ของเหรียญเดียวกัน เมื่อความสัมพันธ์นี้ผิดเพี้ยน เทรดเดอร์สามารถล็อกกำไรแบบไร้ความเสี่ยงได้

Manual Arbitrage vs Bots

แนวทางเทคนิคหลักมีสองแบบ: manual arbitrage และใช้บอทพิเศษ ทั้งคู่มีข้อดีข้อเสีย—ควรเข้าใจให้ครบก่อนเลือก

Manual Arbitrage

Manual arbitrage คือทำเองทุกขั้นตอน เฝ้าราคา หาโอกาส และกดเทรดเอง ฟังดูง่ายแต่ต้องอาศัยสายตาไว ความใส่ใจตลอดเวลา และการตัดสินใจเร็ว

ข้อดีของ manual:

• ควบคุมได้เต็มที่: ปรับกลยุทธ์ทันทีเมื่อสภาพตลาดเปลี่ยน
• อิสระในการเลือก: ไม่ยึดติดกับอัลกอริทึมหรือซอฟต์แวร์ที่อาจบั๊กหรือล่าช้า

ข้อเสียของ manual:

• ต้องเฝ้าราคาอย่างต่อเนื่อง เหนื่อยและใช้เวลามาก
• ช้ากว่าบอท จนอาจพลาดโอกาส
• อารมณ์ (ความกลัว/ความโลภ) อาจรบกวนการตัดสินใจ

Arbitrage Bots

บอทคือโปรแกรมอัตโนมัติที่สแกน exchange หา “ส่วนต่าง” และเทรดให้อัตโนมัติ เร็วกว่ามนุษย์ ช่วยคว้าโอกาสก่อนหาย

ข้อดีของบอท:

• เร็วและมีประสิทธิภาพ: เฝ้าหลาย exchange ได้ 24/7 และเทรดในเสี้ยววินาที
• ตั้งค่าเสร็จให้วิ่งเองได้ ประหยัดเวลา และไม่หลงอารมณ์

ข้อเสียของบอท:

• การตั้งค่าบอท (โดยเฉพาะแบบคัสตอม) ซับซ้อนและต้องบำรุงรักษา
• มีค่าใช้จ่าย (ค่าสมัคร/ค่าซื้อซอฟต์แวร์) หากผลงานไม่ดี อาจขาดทุน
• อาจรับมือเหตุการณ์สุดขั้วไม่ได้ หรือขัดข้องจนพลาดโอกาส

สรุปเลือกอะไรดี? ขึ้นกับความต้องการและทักษะของคุณ เลือก manual หากต้องการคุมเองทั้งหมด มีเวลามอนิเตอร์ และไม่อยากพึ่งระบบอัตโนมัติ เลือกบอท หากต้องการประหยัดเวลา เทรดเร็วขึ้น และยอมลงทุนกับการตั้งค่า/ดูแลรักษา

ข้อดี-ข้อเสียของ Crypto Arbitrage

ข้อดี:

• ศักยภาพกำไรเร็ว: จากส่วนต่างราคาข้าม exchange
• ความเสี่ยงต่ำกว่าวิธีอื่น: ซื้อ-ขายสินทรัพย์เดียวกัน
• ไม่ต้องเดาทิศตลาด: แค่หาส่วนต่างราคา
• กระจายกลยุทธ์: ไม่ต้องพึ่งเทรนด์ตลาด
• มีโอกาสหลายตลาด/ภูมิภาค: ใช้ประโยชน์จากช่องว่างราคาได้กว้าง

ข้อเสีย:

• คู่แข่งสูง: หลายคนใช้บอท โอกาสหายเร็ว
• ค่าธรรมเนียม: ค่าธรรมเนียมบน exchange/ถอน/เครือข่าย ลดทอนกำไร
• ต้องใช้เงินทุน: เพื่อให้กำไรมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อค่าธรรมเนียมสูง
• ช้าหากทำมือ: ต้องเฝ้าตลาดตลอด
• ความผันผวน: การแกว่งแรงอาจทำให้พลาดหรือขาดทุน

วิธีทำเงินด้วย Crypto Arbitrage

ต้องเฝ้าหลาย exchange คว้าโอกาสอย่างรวดเร็ว และคำนวณค่าธรรมเนียมให้ครบ ศักยภาพกำไรมีอยู่ แต่ต้องละเอียด รวดเร็ว และบางครั้งต้องอัตโนมัติจึงจะขยายผลได้ นี่คือขั้นตอน:

1. เข้าใจพื้นฐานของ crypto arbitrage;
2. เลือก exchange ที่จะใช้;
3. ใช้เครื่องมือ arbitrage หรือเฝ้าด้วยตนเอง;
4. คำนวณค่าธรรมเนียมธุรกรรม;
5. พิจารณาสภาพคล่อง;
6. ดำเนินการเทรด;
7. ทำซ้ำและขยายขนาด

ปฏิบัติตามขั้นตอนง่าย ๆ นี้ คุณก็เริ่มเข้าสู่โลกของ crypto arbitrage และทำกำไรจากมันได้ ลองดู!

บทความนี้ช่วยไหม? เข้าใจแนวคิด crypto arbitrage ชัดขึ้นหรือยัง? เราชวนคุณลองหรือยัง? บอกเราในคอมเมนต์!