
จะรู้ได้อย่างไรว่าคริปโตจะขึ้นหรือลง
ข้อโต้แย้งที่ได้ยินบ่อยต่อสกุลเงินดิจิทัลคือ เหรียญขึ้น-ลงแบบไร้ทิศทางและทำนายไม่ได้ แต่ถ้าเราบอกว่าด้วยความรู้พื้นฐานบวกความสามารถในการคาดการณ์ผลของเหตุการณ์ระดับโลก คุณสามารถมองเห็นโอกาสที่เป็นไปได้ล่วงหน้าได้ล่ะ?
ในบทความวันนี้ เราจะพูดถึงองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้คุณประเมินมูลค่าของเหรียญ พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่าการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ส่งผลต่อโลกคริปโตอย่างไร ติดตามต่อเพื่อเรียนรู้วิธีหา “เพชร” ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นกัน
ราคาคริปโตถูกกำหนดอย่างไร
การเข้าใจกลไกขององค์ประกอบบางอย่างจะเป็นกุญแจสู่การคาดการณ์ที่แม่นยำในตลาดคริปโต ปัจจัยเหล่านี้มีได้ทั้งภายในและภายนอก มาดูกันใกล้ ๆ:
- Tokenomics
คำนี้เกิดจาก “token” และ “economics” เป็นการศึกษาด้าน “อุปทานและอุปสงค์” ของเหรียญใดเหรียญหนึ่ง แต่ละโปรเจกต์จะวางแผน Tokenomics ของตนให้ตอบโจทย์ตลาดมากที่สุด
พูดง่าย ๆ มันคือเศรษฐกิจภายในของโปรเจกต์ ครอบคลุมการออกเหรียญ กลไกการกระจายโทเค็น และการใช้งาน โปรเจกต์ที่วาง Tokenomics มาดีและมีอุปสงค์มากกว่าอุปทาน มักมีแนวโน้มราคาสูงขึ้น ตัวอย่างเช่นโมเดลอุปทานแบบถดถอย (deflationary) ที่ทำให้โทเค็นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามความขาดแคลนที่มากขึ้น
- การลิสต์ขึ้นตลาดซื้อขาย (Market Listings)
โรดแมปของโปรเจกต์คริปโตมักระบุเฟสการลิสต์บนกระดานต่าง ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณถึงยุทธศาสตร์ที่น่าเชื่อถือของทีมพัฒนา ดังนั้นสินทรัพย์ดิจิทัลจึงมักมีแรงเก็งกำไรก่อนการลิสต์บนกระดานยอดนิยม ทั้งแบบรวมศูนย์ (CEX) และแบบกระจายศูนย์ (DEX)
แต่ละประเภทมีข้อดีต่างกัน เช่น การลิสต์บน CEX ช่วยดึงนักลงทุนและเงินทุนเข้าสู่โปรเจกต์ ส่วนการลิสต์บน DEX แสดงให้เห็นว่าทีมให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ และพร้อมเปิดทางเลือกธุรกรรมที่ไม่เปิดเผยตัวตน ซึ่งช่วยดึงดูดผู้ตามและสร้างคอมมูนิตี้
ในทางกลับกัน เมื่อโทเค็นถูกถอดออกจากกระดาน (delist) มูลค่าก็มักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เหตุการณ์นี้มักเกิดจากปัญหาด้านความปลอดภัยหรือปริมาณการซื้อขายต่ำ
- ข้อเสนอคุณค่า (Value Proposition)
สำรวจเป้าหมายและคอนเซ็ปต์ของโปรเจกต์ DeFi มองหาสิ่งที่ทีมมอบให้ผู้ใช้ หากคริปโตสกุลนั้นแก้ปัญหาเฉพาะได้ มีนวัตกรรม และมีมูลค่าการใช้งานจริง โปรเจกต์ก็จะเป็นที่ต้องการ
ตัวอย่างเช่น คุณค่าและความโดดเด่นของ Ethereum อยู่ที่การนำ smart contracts มาใช้ตั้งแต่ระยะแรก ทำให้วันนี้กลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มยอดนิยมของแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (dApps) และผู้สืบทอดอย่าง Solana ก็ประสบความสำเร็จด้วยการยกระดับระบบของ ETH ให้รองรับธุรกรรมสูงขึ้นและมีค่าธรรมเนียมต่ำลง
เมื่อเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานของโปรเจกต์แล้ว เราจึงค่อยขยับไปสู่การวิเคราะห์ตลาดเชิงลึก ติดตามต่อเลย!
วิธีวิเคราะห์ความผันผวนของราคา Crypto
การวิเคราะห์ทางการเงินลักษณะนี้เป็นเครื่องมือของเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ ถือเป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้หากต้องการเห็นโอกาสทั้งขาขึ้นและขาลง ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก:
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
ระหว่างทำเทคนิคอล เทรดเดอร์จะศึกษาสถิติของโปรเจกต์ด้วยอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ: การแกว่งตัวของราคาในอดีต, RSI, เส้นแนวโน้ม (trend lines) และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (moving averages) ไอเดียเบื้องหลังคือราคาคริปโตมี “แพตเทิร์น” ที่มักเกิดซ้ำและสามารถติดตามได้บนกราฟ จึงโฟกัสที่การเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขายเพื่อคาดทิศทางในอนาคต
- การวิเคราะห์อารมณ์ตลาด (Sentiment Analysis)
การวิเคราะห์แบบนี้ศึกษาความรู้สึก/อารมณ์ของเทรดเดอร์ เพื่อช่วยให้ประเมินสภาวะตลาดได้ด้วยตนเองและทดสอบ “สัญชาตญาณนักลงทุน” จากนั้นนักวิเคราะห์คริปโตจะเปรียบเทียบข้อมูลตลาดกับพฤติกรรมเทรดเดอร์เพื่อเผยแพตเทิร์น เช่น ความเชื่อมโยงระหว่างดีมานด์เดือดกับการเทขายแบบตื่นตระหนก
โซเชียลมีเดีย ฟอรั่ม และบทความข่าวจากผู้เชี่ยวชาญคริปโตจึงเป็นจุดโฟกัสสำคัญด้วยเช่นกัน โดยทั่วไป นักลงทุนที่มีประสบการณ์จะไม่หวั่นไหวไปกับ “ความตื่นตระหนกหมู่” ในช่วงตลาดพุ่งหรือดิ่ง ดังนั้นความเห็นของพวกเขาจึงสำคัญเป็นพิเศษในเวลานั้น
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis)
เป็นการประเมินทุกมิติของตลาด ทั้งปัจจัยมหภาคและภายใน รวมถึงการเมืองและเศรษฐกิจ ความแตกต่างหลักจากเทคนิคอลคือ ฟันดาเมนทัลสรุปจาก “เหตุการณ์ในอนาคต” มากกว่า “กราฟราคาในอดีต”
การวิเคราะห์นี้ช่วยให้เทรดเดอร์ประเมินมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลจากข้อมูลที่กว้างมาก และมักใช้เพื่อคาดการณ์ระยะยาว มาดูฟันดาเมนทัลแบบเจาะเหตุการณ์กันต่อ เราจะชี้ตัวอย่างเหตุการณ์และรูปแบบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นภายในนั้น

เหตุการณ์สำคัญที่บ่งชี้ว่าคริปโตมีแนวโน้ม “ขึ้น”
เริ่มจากเหตุการณ์ที่อาจจุดชนวนการเติบโตของคริปโต
รัฐบาลที่เป็นมิตรต่อคริปโต (Crypto-Friendly Government)
เหตุการณ์ที่เรียกกระแสความสนใจและการถกเถียงจำนวนมากในพื้นที่ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเราก็เลี่ยงพูดถึงไม่ได้เช่นกัน ตามที่ทราบกัน ชัยชนะของ Donald Trump ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดคริปโต และเราได้เห็น Bitcoin พุ่งแตะ $97,000 มาแล้ว ในสมัยดำรงตำแหน่งก่อนหน้า Trump สนับสนุนนวัตกรรมบล็อกเชนอย่างแข็งขัน สร้างสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเติบโตของตลาด DeFi
ในปัจจุบัน ชัยชนะของเขาอาจนำไปสู่แรงขับของตลาดต่อเนื่อง เพราะนโยบายมุ่งพัฒนาภาคเทคโนโลยี รวมถึงอุตสาหกรรมคริปโต เวลานี้ Trump ยังได้รับแรงหนุนจาก Elon Musk ซึ่งผลักดันมีมคอยน์ โดยเฉพาะ DOGE จึงคาดได้ว่าจะมีนักลงทุนหน้าใหม่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาด
กระแสมีมรอบสกุลเงินดิจิทัล (Meme Hype)
“Meme hype” คือช่วงที่คริปโตสกุลหนึ่งโด่งดังจากมีมไวรัลหรือการสนับสนุนโดยคนดัง ตัวอย่างชัดคือ Dogecoin ที่พุ่งแรงจากมุกตลกและแรงหนุนจาก Elon Musk ตัวอย่างล่าสุดมี DOGWIFHAT และ PNUT อย่างไรก็ตาม การเติบโตแบบนี้มักไม่ยั่งยืน เพราะความสนใจโดยรวมมักจางลงเร็ว ส่งผลให้ราคาย่อตัวแรง
ภาวะตลาดโดยรวม (General Market Situation)
ภาพรวมของตลาดส่งผลต่อคริปโตเช่นกัน มาคุยกันสองภาวะของตลาด DeFi: ตลาดหมี (bear market) และตลาดกระทิง (bull market) ตลาดหมีคือช่วงที่ราคาลดลงต่อเนื่องอย่างน้อยสองเดือน และรวมแล้วลดลงอย่างน้อย 20% นักลงทุนจะมองลบ ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ถดถอยต่อเนื่อง
ส่วนตลาดกระทิงมีลักษณะ “ราคาขึ้น” จากข่าวเชิงบวก เช่น การนำบล็อกเชนมาใช้ การผ่อนคลายกฎระเบียบ หรือเทคโนโลยีใหม่ Sentiment analysis ช่วยคาดการเคลื่อนไหวราคา: ตลาดหมีสื่อถึงความเป็นไปได้ของขาลง ขณะที่ตลาดกระทิงสื่อถึงโอกาสขาขึ้น
การผ่อนคลายการควบคุมจากทางการ (Weakening Control by Authorities)
การผ่อนกฎระเบียบถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ “เชื่อถือได้” หากทางการลดแรงกดดัน เช่น อนุญาตให้ใช้คริปโตในการชำระเงินระหว่างประเทศ หรือผ่อนเกณฑ์ให้กระดานแลกเปลี่ยนดำเนินการได้ง่ายขึ้น ตลาดมักตอบสนองเชิงบวก
ตัวอย่างชัดคือกรณี XRP เมื่อ SEC ฟ้อง Ripple ในปี 2020 ราคาของ XRP ร่วงหนัก แต่หลังคำพิพากษาในปี 2024 ที่เป็นคุณต่อ Ripple ราคาขยับจาก $0.5 เป็น $0.6 ภายในวันเดียว แสดงให้เห็นว่าคำตัดสินทางกฎหมายสามารถกระทบราคาคริปโตได้อย่างไร
การบูรณาการคริปโตในชีวิตประจำวันมากขึ้น
อีกปัจจัยสำคัญคือการผสานคริปโตเข้ากับไฟแนนซ์ดั้งเดิมและชีวิตประจำวัน ลองนึกภาพธนาคารใหญ่เริ่มใช้บล็อกเชนของ Ripple เพื่อโอนเงิน หรือสหรัฐฯ บรรจุ Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรอง แนวทางเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจสาธารณะและเพิ่มการมีส่วนร่วมกับโลกดิจิทัล
ดังนั้น การขยายการใช้งานคริปโตในชีวิตจริงมีแนวโน้มส่งผลบวกต่อราคา ยิ่งโทเค็นถูกใช้ได้ในชีวิตประจำวันหลากหลายขึ้นเท่าไร มูลค่าก็ยิ่งมีเหตุผลรองรับมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากธนาคารเริ่มใช้ smart contracts อย่างแพร่หลาย นั่นคือสัญญาณสำคัญต่อภาพรวมตลาด
Halving
Halving มักส่งผลบวกต่อราคาคริปโต แก่นของมันคือรางวัลขุดบล็อกถูก “หารสอง” ทำให้อัตราการออกเหรียญใหม่ลดลงและเพิ่มความขาดแคลน ตัวอย่างเช่นหลัง Halving ปี 2020 มูลค่า Bitcoin ปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เหตุการณ์สำคัญที่บ่งชี้ว่าคริปโตมีแนวโน้ม “ลง”
ต่อไปเป็นเหตุการณ์ที่อาจกดดันให้ตลาดคริปโตอ่อนตัว
รัฐบาลที่ไม่เป็นมิตรต่อคริปโต (Crypto-Unfriendly Government)
หาก Kamala Harris ชนะการเลือกตั้ง ตลาดกระจายศูนย์อาจเผชิญมาตรการกำกับที่เข้มงวดขึ้น เดิมที Harris แสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อจำกัดคริปโตและการคุ้มครองนักลงทุน จึงมีแผนขึ้นภาษีและสั่งห้ามธุรกรรมบางประเภท นโยบายเหล่านี้อาจกระทบการลงทุนในคริปโตและลดดีมานด์ของตลาด
แรงกดดันจากหน่วยงานกำกับที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยนี้บั่นทอนทั้งตลาดและภาพลักษณ์คริปโตโดยรวม ทุกวันนี้ คริปโตถูกเชื่อมโยงกับ “ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และการกระจายศูนย์”
ลองจินตนาการในทางตรงข้าม: การแบน ภาษีใหม่ และข้อกำหนดที่เข้มสำหรับแพลตฟอร์มและผู้ใช้ ทั้งหมดนี้สร้างความไม่แน่นอนและลดความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัล นักลงทุนรายใหญ่เมื่อสัมผัสได้ถึงความเสี่ยง ก็อาจเริ่มเทขายในปริมาณมาก
การแบนการใช้คริปโต
หากภาครัฐสั่งแบนและจำกัดการเข้าถึงคริปโต การซื้อขายและการยอมรับใช้งานย่อมเผชิญอุปสรรค ข้อจำกัดดังกล่าวลดสภาพคล่องของตลาดและจำกัดการมีส่วนร่วมของนักลงทุน เมื่อดีมานด์ไม่พอหรือปริมาณเทรดต่ำ ราคาก็อาจปรับตัวลง
ทั้งหมดนี้คือภาพรวมเชิงลึกของการวิเคราะห์ทางการเงินและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ช่วยให้คุณมองเห็น “เพชร” ในตลาด ตัดสินใจลงทุนให้ถูกจังหวะ และเติบโตด้านความมั่งคั่ง กุญแจสำคัญคืออยู่กับ “ศูนย์กลางของเหตุการณ์” และจับตาเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัลอยู่เสมอ Cryptomus จะช่วยให้คุณไม่ตกข่าว!
คุณชอบการวิเคราะห์แบบไหนมากกว่า—Technical, Sentiment หรือ Fundamental? แสดงความเห็นไว้ในคอมเมนต์ได้เลยครับ/ค่ะ
ให้คะแนนบทความ




ความคิดเห็น
0
คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น