ผู้เชี่ยวชาญถกเถียงกันว่าวัฏจักรสี่ปีของบิทคอยน์ยังคงมีความสำคัญในปี 2025 หรือเปล่า

เป็นเวลาหลายปีที่ ราคาบิทคอยน์ ถูกผูกติดกับวัฏจักรสี่ปีซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ halving ที่ทำให้จำนวนบิทคอยน์ใหม่ที่ขุดได้ลดลง วัฏจักรนี้เป็นตัวกำหนดความคาดหวังของตลาด มักทำให้เกิดช่วงเวลาที่ราคาขึ้นตามด้วยการปรับตัวลง อย่างไรก็ตาม เมื่อตลาดเติบโตมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญกำลังถกเถียงกันว่าวัฏจักรสี่ปีนี้ยังคงมีความสำคัญในปี 2025 หรือไม่ หรือมันอาจหมดความหมายไปแล้ว

ทำความเข้าใจกับวัฏจักรสี่ปีแบบดั้งเดิมของบิทคอยน์

บิทคอยน์ฮาล์ฟวิง (Bitcoin halving) เกิดขึ้นประมาณทุก ๆ สี่ปี เมื่อเกิดขึ้น นักขุดจะได้รับบิทคอยน์เพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณเดิม ทำให้จำนวนบิทคอยน์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นในตลาดลดลง หลังจากเหตุการณ์นี้ ราคามักจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในเวลาประมาณหนึ่งปี เช่นที่เห็นในปี 2013, 2017 และ 2021 ระยะเวลาสี่ปีนี้จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดทิศทางราคาบิทคอยน์และความคาดหวังของนักลงทุน

โดยแก่นของมันแล้ว Halving คือการจำกัดปริมาณบิทคอยน์ในตลาด ถ้าความต้องการไม่ลดลงหรือเพิ่มขึ้น ปริมาณที่ลดลงนี้จะผลักดันให้ราคาขึ้น นักเทรดและนักวิเคราะห์มองว่า Halving เป็นส่วนสำคัญของมูลค่าบิทคอยน์ เพราะมันช่วยลดปริมาณบิทคอยน์ที่มีอยู่ เนื่องจากเวลาของเหตุการณ์นี้เป็นที่ทราบกันล่วงหน้า นักลงทุนจึงสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้

อย่างไรก็ตาม โมเดลนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่ตลาดบิทคอยน์ยังไม่พัฒนา และส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากนักขุดรายย่อยและนักเทรดทั่วไป เมื่อผู้เล่นสถาบันเข้ามามีบทบาทมากขึ้นและปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไป ก็ควรพิจารณาว่า Halving ยังมีอิทธิพลต่อราคาบิทคอยน์เหมือนเดิมหรือไม่

ทำไมบางผู้เชี่ยวชาญจึงเชื่อว่าวัฏจักรสี่ปีสิ้นสุดแล้ว?

ผู้เชี่ยวชาญในวงการคริปโตจำนวนมากเริ่มแสดงความเห็นว่ายุคของวัฏจักรบิทคอยน์สี่ปีอาจกำลังจะสิ้นสุดลง เจสัน วิลเลียมส์ นักเขียนและนักลงทุน ได้ แชร์ บน X ว่าบริษัทกองทุนบิทคอยน์ 100 อันดับแรกถือครองบิทคอยน์เกือบหนึ่งล้านเหรียญ เขาโต้แย้งว่าการรวมตัวของบิทคอยน์ในมือกลุ่มใหญ่แบบนี้ลด “สภาพคล่องสำหรับการซื้อขาย” และทำลายสมดุลอุปสงค์อุปทานแบบเดิมที่เชื่อมโยงกับ Halving

แมทธิว ฮูแกน ประธานฝ่ายการลงทุนของ Bitwise Asset Management ให้ความเห็นใกล้เคียงกัน ในบทความของ CNBC โดยบอกว่าแม้ว่าวัฏจักรจะ “ยังไม่จบอย่างเป็นทางการ” จนกว่าจะเห็นผลตอบแทนบวกในปี 2026 แต่เขาเชื่อว่าสัญญาณสี่ปีนี้ไม่ได้มีอิทธิพลมากเหมือนเดิม ปิแอร์ โรชาร์ด ซีอีโอของ The Bitcoin Bond Company ก็ชี้ให้เห็น ว่าด้วยบิทคอยน์ 95% ได้ถูกขุดขึ้นมาแล้ว เหตุการณ์ Halving จึงไม่ส่งผลต่อปริมาณบิทคอยน์ใหม่อย่างมีนัยสำคัญอีกต่อไป เขากล่าวว่าการขับเคลื่อนความต้องการตอนนี้มาจากนักลงทุนรายย่อย, ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อขายในตลาด (ETP) และบริษัทกองทุนที่ซื้อบิทคอยน์จากผู้ถือระยะยาว

มาร์ติน เบิร์เกอร์ จากธนาคาร Sygnum เห็นด้วยกับมุมมองนี้ โดยเน้นว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค, การลงทุนจากสถาบัน และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมตลาดบิทคอยน์มากพอ ๆ กับเหตุการณ์ Halving ถึงแม้ Halving จะยังเป็นจุดสังเกตสำคัญ แต่ก็ไม่ได้ครอบงำทิศทางตลาดเหมือนเดิม

ทำไมบางคนยังเชื่อว่าวัฏจักรยังอยู่?

แม้จะมีข้อถกเถียงเหล่านี้ แต่บางผู้เชี่ยวชาญในวงการยังมั่นใจว่าวัฏจักรสี่ปียังมีความสำคัญ นักวิเคราะห์คริปโตชื่อ “CRYPTO₿IRB” โต้แย้ง ว่าวัฏจักรนี้ยังใช้ได้อยู่ โดยชี้ว่าการมีอยู่ของ ETF และความเชื่อมโยงกับระบบการเงินแบบดั้งเดิมกลับยิ่งเสริมสร้างรูปแบบนี้ เขายังกล่าวว่าตลาดหุ้นแบบดั้งเดิมมักมีวัฏจักรตามรอบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกสี่ปี ซึ่งสอดคล้องกับตาราง Halving ของบิทคอยน์ ทำให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างตลาดคริปโตกับตลาดการเงินหลัก

นอกจากนี้ Halving เป็นฟีเจอร์ที่ฝังอยู่ในโค้ดของบิทคอยน์ มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติและไม่สามารถหยุดหรือเพิกเฉยได้ การปรับปริมาณบิทคอยน์นี้จึงยังคงส่งผลต่อพฤติกรรมตลาดในระยะยาว ซีอีโอของ Xapo Bank, เซมัส รอคคา, เห็นด้วยและเตือนว่าช่วงตลาดขาลงที่ยาวนานยังเป็นไปได้ และการเข้ามาของผู้เล่นสถาบันไม่ได้ทำลายวัฏจักรธรรมชาติของบิทคอยน์

ความเห็นที่แตกต่างนี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่กว้างขึ้น: แม้ตลาดจะซับซ้อนขึ้น แต่แนวโน้มในอดีตยังคงมีความหมายกับผู้เล่นหลายกลุ่ม การถกเถียงนี้ชี้ให้เห็นว่าทิศทางของบิทคอยน์ยังคงยากที่จะคาดเดา และวัฏจักร แม้จะเปลี่ยนไปบ้าง ยังคงเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราว

วัฏจักรบ่งบอกอะไรตอนนี้?

เมื่อวงการคริปโตวิวัฒนาการไป วัฏจักรสี่ปีของบิทคอยน์ที่เกี่ยวข้องกับ Halving กำลังถูกตั้งคำถาม ปัจจัยใหม่อย่างนักลงทุนสถาบัน, การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และกฎระเบียบต่าง ๆ มีอิทธิพลมากขึ้น ทำให้โมเดลอุปสงค์อุปทานแบบเดิมไม่แน่นอน

อย่างไรก็ตาม วัฏจักรสี่ปียังคงเป็นกรอบสำคัญของบิทคอยน์ และนักลงทุนจำนวนมากยังคงอิงตามมัน ไม่ว่าจะยังเป็นตัวชี้วัดหลัก หรือเป็นแค่หนึ่งในหลายปัจจัย ก็สะท้อนถึงความท้าทายในการคาดการณ์อนาคตของบิทคอยน์